วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

>>ต้นไม้ประจำวิทยาลัย

ต้นไม้ประจำวิทยาลัย

ชื่อทางวิทยาศาสตร์:Lagerstroemia calyculata Kurz
ชื่อพื้นเมือง: เปื๋อยด้อง เปื๋องนา(ลำปาง), เปื๋อยหางค่าง(แพร่), ตะแบกไข่(ราชบุรี,ตราด), ตะแบกนา ตะแบก(ภาคกลาง,นครราชสีมา), กระแบก(สงขลา), บางอตะมะกอ(มลายู, ยะลา, ปัตตานี), บางอยะมู(มลายู, นราธิวาส), ตราแบกปรี้(เขมร)
ชื่อสามัญ: ตะแบก เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ลักษณะของใบและดอกคล้ายคลึงกับอินทนิลและเสลาเพียงแต่ใบและดอกของตะแบกเล็กกว่า ดอกตะแบกออกเป็นช่อใหญ่ ช่อเดียวกันมีทั้งดอกสีม่วงและสีขาว เป็นดอกที่กำลังจะโรย เวลาออกดอกจะทิ้งใบ เมื่อดอกโรยแล้วจะมีลูกกลมๆ ตะแบกอินทนิล เสลา ลักษณะคล้ายคลึงกันมาก การดูว่าต้นไหนเป็นต้นตะแบกต้องดูที่ลำต้น ลักษณะของต้นตะแบก ต้นจะเกลี้ยงขาว มีสะเก็ดแตกออกคล้ายต้นฝรั่ง โคนต้นมีรากฟูขึ้นมาจนเห็นชัด ออกดอกในฤดูแล้ว ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
          สรรพคุณทางสมุนไพร เปลือกปรุงเป็นยาแก้บิด ใช้เปลือกต้นครึ่งกำมือสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ ต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว เคี่ยวให้เหลือค่อนแก้วดื่มๆเฉพาะน้ำ จะช่วยให้อาการทุเลาขึ้น
          ตะแบกเป็นอีกหนึ่งในหลายๆ พรรณไม้ที่ถูกจารึก กล่าวถึงในงานประพันธ์ทางวรรณคดีไทย อาทิ
“ กำจัดสลัดไดขึ้น          บนพื้นภูภู่เขาสูง
แคคางยางยูงดูง                ต้นกระแบกแปลกกันบานฯ
สลัดไดกำจัดต้น            หางยูง
บนภูภู่เขาสูง          หย่งหยึ้ง
แคคางยางยูงดูง          ตรงโตรด
ตะแบกแปลกกันขึ้น          เกลื่อนกลุ้มบานไสวฯ ”
(กาพย์ห่อโคลงประพาสธานทองแดง พระนิพนธ์ในเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร)
“ รุ่งเช้าเข้าป่ากว้าง          ทางโขลง
คลองเก่าเท่าลำกระโดง          โป่งช้าง
ซ้ายขวาป่าสมอโมง          ไม้อุโลก โมกเอย
กระแบกกระเบาเสลาสล้าง          สลับต้นคนทาฯ”
“ดึกสามยามสงัดครึ้ม          งึมเงา
เป็นเยียบเงียบของเขา          โขดเงื้อม
มือคลุ้มพุ่มกระแบกกระเบา          บังปิด มิดเอย
แวบวัลลับแลเหลื้อม          ปรอดหรอนว่อนเวียรฯ”
“โพธิ์พระยาท่าตลิ่งล้วน          ล้อเกวียน
โพธิ์ไผ่ไม้เต็งตะเคียน          ตะขบบ้าง
ซึกซากกระบากกระเบียน          กระเบากระแบก กระบกแฮ
เสลาสลอดสลับสล้าง          เหล้าไม้ใกล้กระสินธุฯ”
(โคลงนิราศสุพรรณ บทประพันธ์ของสุนทรภู่)

          ตะแบก ณ วิทยาลัยเทคนิคกาญจนบุรี คือ ลานร่มเงาที่ยืนตระหง่านเรียงรายเป็นทิวแถวแผ่เงาคลุมที่นั่งพักพิงของครูอาจารย์ และนักเรียนนักศึกษาหลายพันชีวิต มีข้อควรระลึกอยู่เสมอว่า คราใดที่ดอกตะแบกแตกช่อสีม่วงงดงามและร่วงโรย ช่วงเดือนมกราคมถึงต้นเดือนมีนาคมของทุกปี....ครานั้นคือฤดูกาลของการสอบปลายภาคเรียนซึ่งเป็นเวลากาลในการอำลาของนายช่างลูกวิษณุกาญจน์ที่ต้องออกไปเผชิญกับโลกกว้างที่ท้าทายอยู่เบื้องหน้า นั่นเอง
(ข้อมูลประกอบการเขียน: ชวลิต ดาบแก้วและสุดาวดี เหมทานนท์(2542) พรรณไม้ในวรรณคดีไทย เล่ม 1 (พิมพ์ครั้งที่ 2) กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น